GoodGoodDish
ต้มจิ๋ว
ต้มจิ๋วเป็นอาหารที่นิยมในฤดูหนาว รสชาติเปรี้ยวเค็มหวานเผ็ดร้อน มีเนื้อวัวตุ๋น มันเทศ และสมุนไพร เป็นตํารับชาววังที่พระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิททรงปรุงถวายรัชกาลที่ 5
ต้มจิ๋ว
ต้มจิ๋วเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมทั้งในวังและในหมู่ชาวบ้าน โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว มีลักษณะคล้ายต้มโคล้งหรือต้มส้ม คือมีรสชาติเปรี้ยว เค็ม หวาน และเผ็ดร้อนเล็กน้อยจากพริกขี้หนูและกะเพรา ความหวานได้จากธรรมชาติของหอมแดงและมันเทศ เสริมด้วยเนื้อวัวตุ๋นหั่นเต๋าที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม สันนิษฐานว่าต้มจิ๋วตํารับในวังถูกคิดค้นและปรุงขึ้นโดยพระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิท เพื่อถวายพระบิดา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และทรงเสวยบ่อยครั้งในยามที่ทรงพระประชวร จนกลายเป็นอีกหนึ่งเมนูโปรดของพระองค์ท่าน สูตรของพระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิทได้ระบุวิธีการปรุงไว้อย่างละเอียด เริ่มต้นด้วยการล้างเนื้อวัวให้สะอาด เลาะพังผืดออกให้หมด แล้วหั่นเป็นชิ้นพอดีคํา จากนั้นนําไปใส่ในหม้อและเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ จนเนื้อเริ่มเปื่อย จึงปอกมันเทศ ล้างน้ําให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นพอดีคํา แล้วใส่ลงในหม้อต้มรวมกับเนื้อวัว เคี่ยวต่อไปจนมันเทศเปื่อยนุ่ม ปรุงรสด้วยมะขามเปียกเล็กน้อย ซอยหอมแดงใส่ลงไป เมื่อหอมสุกแล้ว เด็ดใบโหระพาและใบกะเพราที่ล้างสะอาด ใส่ลงในหม้อ คนให้เข้ากัน แล้วยกลงจากเตา ขั้นตอนสุดท้ายคือการเติมพริกขี้หนูบุบพอแตกๆ เพื่อเพิ่มความเผ็ดร้อน บีบมะนาวเพื่อเพิ่มความเปรี้ยว ใส่น้ําเคยดี (น้ําปลาอย่างดี) เพื่อเพิ่มความเค็ม ชิมรสและปรับตามความชอบ เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมและถูกปาก ต้มจิ๋วเป็นอาหารที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เนื้อวัวให้โปรตีนและธาตุเหล็ก มันเทศให้คาร์โบไฮเดรตและวิตามิน ส่วนสมุนไพรต่างๆ เช่น หอมแดง กะเพรา และโหระพา ล้วนมีสรรพคุณทางยา ช่วยบํารุงร่างกายและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ รสชาติที่หลากหลายของต้มจิ๋วยังช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร ทําให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จําเป็นอย่างครบถ้วน ต้มจิ๋วไม่เพียงแต่เป็นอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์ แต่ยังเป็นอาหารที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของไทย เป็นอาหารที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น และยังคงเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน